5 กลยุทธ์การตลาดหลอกลวงที่คุณควรรู้

กลยุทธ์การตลาดแบบนี้มีชื่อเรียกหลายแบบ ขึ้นอยู่กับวิธีที่ใช้ “หลอก” หรือ “จูงใจ” ให้ลูกค้ารู้สึกว่าต้องรีบซื้อ โดยหลักๆ มีชื่อเรียกดังนี้:

1. False Sense of Urgency (สร้างความเร่งด่วนปลอมๆ)

  • ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าต้องรีบซื้อ ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่มีความจำเป็น
  • ตัวอย่าง: “วันนี้วันสุดท้าย!” แต่พรุ่งนี้ก็มีโปรใหม่
  • เป็นเทคนิคที่ทำให้ลูกค้ากลัวพลาด (FOMO – Fear of Missing Out)

2. Price Anchoring (ปั่นราคาให้ดูถูกลง)

  • ตั้งราคาสูงเกินจริงก่อน แล้วค่อยลดให้ดูเหมือนได้ส่วนลดเยอะ
  • ตัวอย่าง: “ลด 50% จากราคาเดิม 6,000 บาท เหลือ 2,999 บาท” ทั้งที่ความจริงราคาปกติอยู่ที่ 3,000 บาทมาตลอด

3. Perpetual Sale (ลดราคาตลอดกาล หรือ “ลูปนรกของโปรลด”)

  • ทำให้ลูกค้าคิดว่าต้องรีบซื้อ เพราะโปรจะหมด แต่ความจริง มีโปรใหม่วนไปเรื่อยๆ
  • ร้านบางแห่งอาจใช้คำว่า “ลดครั้งสุดท้ายของปี” แต่ปีถัดไปก็ใช้โปรเดิม

4. Decoy Pricing (ราคาล่อใจให้เลือกของแพงกว่า)

  • ใช้การตั้งราคาหลายระดับเพื่อทำให้สินค้าที่แพงกว่าดูน่าซื้อมากขึ้น
  • ตัวอย่าง:
    • แว่น A ราคา 1,000 บาท
    • แว่น B (คุณภาพใกล้เคียงกัน) ราคา 1,900 บาท
    • แว่น C (มีของแถม แต่ต้นทุนแทบไม่เพิ่ม) ราคา 2,000 บาท
    • ลูกค้าส่วนใหญ่จะเลือกแว่น C เพราะดูคุ้มสุด

5. Drip Pricing (ราคาย่อยแยกเพื่อให้ดูถูกกว่าความจริง)

  • โฆษณาว่าแว่นราคา 999 บาท แต่พอซื้อจริง ต้องจ่ายเพิ่มค่าตัดเลนส์ ค่ากรอบ ค่าประกัน ฯลฯ
  • ทำให้ตอนแรกดูเหมือนถูก แต่สุดท้ายจ่ายแพงกว่าที่คิด

ติดอยู่ในวงจรซื้อเพราะ “กลัวพลาด” ไม่ใช่เพราะ “จำเป็นจริงๆ”

Leave a comment