ทำไมโปรเกรสซีฟเลนส์ ตัวไฮเอน ถึงไม่มี Economy of Scale?

📌 ทำไมเลนส์โปรเกรสซีฟแต่ละระดับราคาถึงแตกต่างกัน?

เลนส์โปรเกรสซีฟทุกระดับ ต้องสั่งทำเฉพาะบุคคล (Custom-Made) เพราะต้องผลิตตามค่าสายตา, PD, ค่า ADD และการใช้งานจริงของลูกค้าแต่ละคน แต่ถึงแม้ เลนส์ระดับพื้นฐาน (Standard) และเลนส์ระดับพรีเมียม (Premium) จะต้องสั่งทำเหมือนกัน เลนส์พรีเมียมก็ยังแพงกว่ามาก เพราะมีปัจจัยหลักดังนี้


1. เลนส์ระดับพื้นฐานใช้ดีไซน์เดียวกัน แค่ปรับค่าการขัดเลนส์

ใช้ Design Library เดียวกันสำหรับทุกคน

โครงสร้าง Corridor และ Distortion Mapping ถูกกำหนดไว้แล้ว

เวลาสั่งผลิต แค่ใส่ค่าสายตา PD และ ADD เข้าไป ระบบจะขัดเลนส์ตามสูตรสำเร็จ

สามารถผลิตเป็นล็อตใหญ่ (Semi-Mass Production) → ลดต้นทุนได้

ข้อเสีย

ไม่มีการชดเชยตามพฤติกรรมการใช้สายตา

ต้องใช้เวลาปรับตัวมากกว่า เพราะโซนมองเห็นอาจไม่ตรงกับพฤติกรรมของผู้ใช้

💡 เปรียบเทียบง่ายๆเหมือนเสื้อสำเร็จรูปที่เลือกไซส์ S, M, L ซึ่งใส่ได้ แต่ไม่ได้ฟิตเป๊ะตามสรีระ


2. เลนส์ระดับพรีเมียมต้องออกแบบใหม่ทั้งหมด (Personalized Freeform)

ใช้ AI วิเคราะห์พฤติกรรมการใช้สายตาแต่ละคน

คำนวณ Distortion, Chromatic Aberration, และ Corridor ที่เหมาะสมสำหรับผู้ใช้

ต้องขัดเลนส์ตามพฤติกรรมเฉพาะบุคคล ไม่ใช่ใช้ดีไซน์สำเร็จรูป

ใช้เทคโนโลยี Dual Surface Freeform และ Digital Ray-Tracing เพื่อเพิ่มความแม่นยำ

ข้อเสีย

ต้องใช้ซอฟต์แวร์พิเศษและ AI คำนวณโครงสร้างเลนส์ใหม่ทุกคู่

ใช้เครื่องขัด CNC ระดับสูง → ต้นทุนสูงขึ้น

ใช้เวลาในการผลิตนานกว่ารุ่นพื้นฐาน

💡 เปรียบเทียบง่ายๆเหมือนสูทสั่งตัดเฉพาะตัว ฟิตพอดี ใส่สบาย และไม่ต้องปรับตัวเยอะ


3. ไม่มี Economy of Scale เพราะเลนส์โปรเกรสซีฟผลิตแบบ Made-to-Order

แม้แต่เลนส์ระดับพื้นฐานก็ต้องผลิตตามค่าสายตาของแต่ละคน → ไม่มีสต็อกเลนส์สำเร็จรูป

แต่เลนส์ระดับพื้นฐานใช้ดีไซน์เดียวกันในหลายคน → สามารถผลิตแบบ Semi-Mass Production ได้

เลนส์ระดับพรีเมียมต้องออกแบบใหม่ทั้งหมด → ต้องผลิตทีละคู่ → ต้นทุนต่อชิ้นสูงกว่า

💡 เปรียบเทียบง่ายๆเลนส์ระดับพื้นฐานเหมือนรองเท้ากีฬาที่มีหลายไซส์ แต่เลนส์ระดับพรีเมียมเหมือนรองเท้าสั่งตัดที่ฟิตเป๊ะทุกจุด


4. ต้นทุนการออกแบบ (R&D Cost) สูงมาก

ต้องใช้ AI และ Supercomputer คำนวณโครงสร้างเลนส์

พัฒนา Corridor Design, Distortion Mapping, Chromatic Aberration Compensation

ต้องมี Clinical Trials และ Feedback จากผู้ใช้จริง

มีค่าลิขสิทธิ์เทคโนโลยีจากแบรนด์ดัง (Essilor, Zeiss, Hoya, Nikon, Rodenstock ฯลฯ)

💡 ทำไมแพงกว่า?

ต้องมีการวิจัยและพัฒนาตลอดเวลา เพื่อให้เลนส์โปรเกรสซีฟใช้งานง่ายขึ้น ปรับตัวได้เร็วขึ้น

ต้องมีการทดสอบจริงจากผู้ใช้ และปรับปรุงการออกแบบ ทำให้ใช้เวลาพัฒนาและต้นทุนสูง


5. การผลิตต้องใช้เครื่อง CNC ระดับสูง

เลนส์ระดับพรีเมียมใช้ Ultra-Precision Diamond Lathe Machines ขัดเลนส์ระดับนาโนเมตร

ขัดแบบ Dual Surface Freeform (หน้า+หลัง) ให้ภาพคมชัดทุกมุมมอง

ต้องใช้ Digital Ray-Tracing Technology เพื่อลด Distortion

💡 ทำไมแพงกว่า?

เครื่อง CNC ระดับสูงมีต้นทุนแพงมาก และใช้เวลาขัดนานกว่า → ทำให้ต้นทุนการผลิตต่อเลนส์สูง

เลนส์ต้องขัดละเอียดกว่ารุ่นพื้นฐานหลายเท่า เพื่อให้การเปลี่ยนโซนมองเห็นเป็นธรรมชาติ


6. ค่าลิขสิทธิ์เทคโนโลยีจากบริษัทผู้พัฒนาเลนส์

เลนส์โปรเกรสซีฟระดับพรีเมียมต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ให้กับบริษัทผู้พัฒนา เช่น Essilor, Hoya, Zeiss, Nikon

บริษัทเหล่านี้ต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลเพื่อวิจัยและจดสิทธิบัตร

เลนส์รุ่นสูงใช้เทคโนโลยีเฉพาะ เช่น Digital Ray-Tracing, Wavefront Optimization, AI-based Design

💡 ทำไมแพงกว่า?

ค่าลิขสิทธิ์เทคโนโลยีเป็นต้นทุนที่ต้องบวกเข้าไปในราคาขาย

บริษัทต้องชดเชยต้นทุนการวิจัยด้วยราคาที่สูงขึ้น


7. การควบคุมคุณภาพ (Quality Control) เข้มงวดกว่ารุ่นพื้นฐาน

เลนส์ระดับพรีเมียมต้องผ่าน Optical Quality Testing และ Wavefront Aberration Check

เลนส์ที่มีข้อผิดพลาดแม้แต่น้อยต้องถูกทิ้งและผลิตใหม่ → เพิ่มต้นทุนการผลิต

💡 ทำไมแพงกว่า?

การควบคุมคุณภาพเข้มงวดขึ้น → เพิ่มต้นทุนแรงงานและต้นทุนการผลิต

เลนส์ที่ไม่ผ่านมาตรฐานต้องผลิตใหม่ ทำให้เสียต้นทุนไปโดยเปล่าประโยชน์


📌 สรุป: เลนส์ระดับพื้นฐาน vs เลนส์ระดับพรีเมียม ต่างกันตรงไหน?

ปัจจัยเลนส์ระดับพื้นฐาน (Standard Freeform)เลนส์ระดับพรีเมียม (Premium Freeform)
การออกแบบเลนส์ใช้ดีไซน์สำเร็จรูป เปลี่ยนแค่ค่าขัดออกแบบใหม่ทั้งหมดเฉพาะบุคคล
Corridor และ Distortion Mappingใช้สูตรสำเร็จคำนวณใหม่ตามพฤติกรรมการใช้สายตา
การชดเชยความผิดเพี้ยนไม่มี หรือมีน้อยมีการชดเชยอย่างละเอียด
เทคโนโลยีการขัดSingle Surface FreeformDual Surface + Digital Ray-Tracing
เวลาในการผลิตเร็วกว่า เพราะใช้สูตรสำเร็จนานกว่า เพราะต้องออกแบบใหม่
Economy of ScaleSemi-Mass Production (ต้นทุนต่ำกว่า)Made-to-Order 100% (ต้นทุนสูง)
ค่าลิขสิทธิ์เทคโนโลยีใช้ดีไซน์ทั่วไปต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์แพง
Quality ControlQC มาตรฐานQC เข้มงวดกว่า

📌 จริงไหมที่บางค่าสายตา เลนส์โปรเกรสซีฟระดับพรีเมียมกับระดับพื้นฐานแทบไม่ต่างกัน?

จริง! แต่ไม่ใช่กับทุกค่าสายตา ความแตกต่างระหว่างเลนส์ระดับพรีเมียมกับเลนส์ระดับพื้นฐานจะชัดเจนขึ้นในบางกรณีเท่านั้น


1. ค่าสายตาใดที่ “เลนส์พื้นฐาน” และ “เลนส์พรีเมียม” ให้ประสบการณ์ใกล้เคียงกัน?

ค่าสายตาต่ำถึงปานกลาง (-2.00D ถึง +2.00D, ADD ≤ 1.50D)

• ถ้าค่าสายตาไม่ได้สูงมาก และค่า ADD ต่ำ (เช่น อายุ 40-45 ปี ที่ยังใช้ ADD 1.00D – 1.50D)

• Distortion และโซนเปลี่ยนค่าสายตา (Corridor) ยังไม่ต้องชดเชยมาก

• การออกแบบ Corridor ของเลนส์พื้นฐานยังรองรับได้ดี → รุ่นพื้นฐานให้การมองที่ดีเพียงพอ

กรณีใช้กรอบแว่นที่มีขนาดพอดี และไม่ได้โค้งมาก

• ถ้ากรอบแว่นมี Fitting Height ที่พอดี และไม่มีความโค้งมาก (Base Curve ปกติ)

• เลนส์พื้นฐานยังคงให้ประสบการณ์การมองที่ดี

กรณีไม่ได้ต้องการมุมมองกว้างมาก หรือไม่ได้ใช้งานที่ต้องเปลี่ยนระยะบ่อยๆ

• ถ้าใช้เลนส์โปรเกรสซีฟแค่เดินเล่น ใช้งานทั่วไป ไม่ได้อ่านหนังสือเยอะ หรือใช้คอมพิวเตอร์นาน

• เลนส์พื้นฐานยังใช้งานได้ดี

สรุป: ถ้าค่าสายตาไม่สูง, ADD ต่ำ, ไม่เน้นใช้งานที่ต้องเปลี่ยนโฟกัสบ่อย → เลนส์พื้นฐานเพียงพอ


2. ค่าสายตาใดที่ “เลนส์พรีเมียม” ให้ประสบการณ์ดีกว่าชัดเจน?

ค่าสายตาสูง (-4.00D ขึ้นไป, ADD ≥ 2.00D)

ค่าสายตาสูงทำให้ Distortion ข้างเลนส์เพิ่มขึ้น

ADD สูง (เช่น 2.00D – 3.00D) ทำให้ Corridor ต้องสั้นลง → ถ้าเป็นเลนส์พื้นฐาน อาจมี Distortion ด้านข้างและต้องก้มเงยมากขึ้น

• เลนส์พรีเมียมจะออกแบบให้ Corridor มีความสมดุลระหว่างไกล-กลาง-ใกล้ได้ดีกว่า

กรณีต้องใช้กรอบแว่นโค้ง หรือขนาดสูง/กว้างมาก

• ถ้าใช้กรอบที่มี Base Curve สูง (แว่นทรงโค้ง, กรอบกว้าง) → เลนส์พื้นฐานมักมี Distortion ด้านข้างเยอะ

เลนส์พรีเมียมสามารถปรับค่าการชดเชยความโค้งของกรอบให้เหมาะสม

กรณีต้องใช้มุมมองกว้าง และเปลี่ยนระยะโฟกัสบ่อยๆ

• ถ้าต้อง ใช้คอมพิวเตอร์เยอะ, อ่านหนังสือบ่อย, ทำงานเอกสาร หรือขับรถเป็นเวลานาน

เลนส์พรีเมียมให้โซนอ่านหนังสือกว้างกว่า มองจอคอมพิวเตอร์ได้ง่ายกว่า

สรุป: ถ้าค่าสายตาสูง, ADD สูง, ใช้กรอบแว่นโค้ง, หรือใช้งานที่ต้องเปลี่ยนระยะโฟกัสบ่อย → เลนส์พรีเมียมคุ้มกว่าชัดเจน


📌 สรุป: เมื่อไหร่ที่เลนส์พื้นฐานกับเลนส์พรีเมียมไม่ต่างกัน และเมื่อไหร่ที่ต่างกันชัดเจน?

ปัจจัยเลนส์พื้นฐาน (Standard Freeform) เพียงพอเลนส์พรีเมียม (Premium Freeform) ต่างชัดเจน
ค่าสายตาต่ำถึงปานกลาง (-2.00D ถึง +2.00D)สูง (-4.00D ขึ้นไป)
ADD (Presbyopia Power)ADD ต่ำ (≤ 1.50D)ADD สูง (≥ 2.00D)
การใช้กรอบแว่นกรอบธรรมดา ขนาดกลาง ไม่โค้งมากกรอบโค้งสูง หรือกรอบใหญ่
การใช้งานใช้งานทั่วไป ไม่เปลี่ยนโฟกัสบ่อยใช้คอมพิวเตอร์เยอะ อ่านหนังสือบ่อย
ความต้องการมุมมองกว้างไม่จำเป็นต้องมีโซนมองกว้างมากต้องการโซนอ่านหนังสือกว้างขึ้น
การปรับตัวต้องใช้เวลาปรับตัวบ้างปรับตัวได้ง่ายกว่า

สรุป:

เลนส์พื้นฐานกับเลนส์พรีเมียมให้ผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงกันในค่าสายตาต่ำถึงปานกลาง และการใช้งานทั่วไป

ความแตกต่างชัดเจนเมื่อค่าสายตาสูง, ADD สูง, ใช้กรอบโค้ง, หรือมีความต้องการใช้งานที่ซับซ้อนกว่า

Leave a comment